เจ้ากรรม –นายเวรที่แท้จริง
มีโยมท่านหนึ่งตังคำถามว่า เจ้ากรรม นายเวร มีจริงหรือไม่ อาตมาตอบว่า มีจริง โยมได้ถามต่อว่า ท่านรู้ได้อย่างไร ท่านเคยเห็นหรือ อาตมาตอบว่า ใช่ อาตมาเคยเห็น และเห็นเป็นประจำ เห็นทุกครั้งที่เดินผ่านกระจก เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนี้ โยมก็ยิ่งงงไปใหญ่ ก่อนที่โยมจะสับสนและจินตนาการอะไรไปมากกว่านั้น อาตมาจึงได้อธิบายเพื่อทำความเข้าใจในประเด็นนี้โดยสังเขปดังนี้
เมื่อพูดถึงคำว่า “เจ้ากรรม-นายเวร” คนส่วนมากจะมีทัศนคติในเชิงลบ โดยจะนึกถึงบุคคล หรือสัตว์ ที่เป็นต้นเหตุให้ตนได้ประสบกับชะตากรรมที่ไม่พึงปรารถนา เป็นต้นว่า เกิดความล้มเหลวในการประกอบอาชีพการงาน ไม่ประสบความสำเร็จในการครองเรือน เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ประสบอุบัติเหตุ หรือ ประสบภัยพิบัติต่างๆ ในส่วนบุคคลนั้นอาจเป็นผู้ที่เกิดร่วมสมัยและเกี่ยวข้องกับตนในทางใดทางหนึ่งด้วยก็ได้ เช่น เป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็นลูกน้อง เป็นเจ้านาย อีกนัยหนึ่งก็หมายถึงบุคคลที่อยู่ในมิติพิเศษแตกต่างไปจากตน เช่น เทวดา วิญญาณ พระภูมิ เจ้าที่ ภูตฝีปีศาจ ฯลฯ ตามแต่จินตภาพที่คนๆนั้นได้สร้างขึ้นและผลักภาระไปให้ โดยสรุปก็คือเมื่อไรก็ตามที่ต้องประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนาเพราะใคร ก็จะเหมารวมเอาว่าคนๆนั้น หรือสัตว์ตัวนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร หากไม่มีคนหรือสัตว์ให้กล่าวพาดพิงได้ เจ้ากรรมนานเวรก็จะเป็นบุคคลหรือสิ่งที่อยู่ในอีกมิติพิเศษตามที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยภายนอกตนทั้งสิ้น เป็นการโยนความผิดใหคนอื่น ชึ่งนอกจากขาดความเป็ธรรมแล้ว ยังเป็นเหตุให้มองข้ามเจ้ากรรม นายเวรตัวจริงไปด้วย
คำว่า เจ้ากรรม นายเวร ในทัศนะของอาตมาจึงไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งภายนอกเลย แต่หมายถึง ตัวเรานั้นเอง เพราะไม่ว่าจะถือเอาความหมายตามรูปศัพท์หรือตามพฤติกรรม คำตอบก็เป็นเช่นนั้น เช่น “เจ้ากรรม” คำว่า “เจ้า” โดยความหมายบ่งบอกว่าได้แก่ “ผู้ที่เป็นใหญ่ หรือเป็นเจ้าของ”* คำว่า “กรรม” หมายถึงการกระทำด้วยเจตนา ดังนั้น เจ้ากรรม จึงแปลรวมกันว่า ผู้เป็นเจ้าของการกระทำที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเจตนา ส่วน นายเวร คำว่า “นาย” โดยความหมายก็คือ “ผู้เป็นใหญ่ หรือเป็นเจ้าของ”* คำว่า “เวร” แปลว่า “ความพยาบาท,ความปองร้าย”* เมื่อรวมความแล้วสามารถแปลได้ว่า ผู้ที่เป็นใหญ่หรือเป็นเจ้าของความพยาบาท ความปองร้ายเป็นต้น
จากความหมายที่กล่าวข้างต้นทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คำว่า เจ้ากรรม แท้จริงแล้วคือตัวเรานั้นเอง เพราะเราสร้างกรรมใดขึ้นก็เป็นเจ้าของกรรมนั้น สร้างกรรมดี ก็เป็นเจ้ากรรมดี สร้างกรรมชั่ว ก็เป็นเจ้าของกรรมชั่ว และเป็นผู้ต้องรับหรือเสวยผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดั่งพุทธวจนะที่ว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ดังนั้นเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับมรสุมหรือเหตุการณ์ใดๆที่ไม่พึงปรารถนา ก่อนจะเพ่งหาสาเหตุไปที่ปัจจัยภายนอก ควรสำรวจปัจจัยภายในคือพฤติกรรมของตัวเองก่อนว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นั้นมีสาเหตุมาจากกรรม คือการกระทำของเราหรือไม่ หากใช่ ก็ต้องรีบตัดกรรมด้วยการเลิกพฤติกรรมนั้นเสีย ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่ใช้ตัดกรรมได้ และสามารถทำได้ทันทีด้วยตัวเราเอง โดยไม่ต้องผ่านพิธีใดๆให้เสียเวลาหรือสิ้นเปลืองเงินทองอย่างที่คนส่วนหนึ่งชอบทำกัน เมื่อพฤติกรรมยุติ กรรมก็หยุด ความเป็นเจ้าของกรรมก็ไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ยังจำเป็นต้องรับผลจากกรรมที่ทำมาก่อนหน้านี้ แต่ระยะเวลาก็จะสั้นลงเพราะห่วงโซ่หรือความต่อเนื่องของกรรมได้ถูกตัดทอนลง เปรียบได้กับการทานอาหารที่มีรสเผ็ด หากเราไม่หยุดทาน ความแสบร้อนหรือทุกข์ทรมานที่เกิดจากรสเผ็ดก็จะเกิดอย่างไม่มีวันจบสิ้น เมื่อเราหยุดทาน จุดสิ้นสุดของความทุกข์ทรมานเพราะความเผ็ดก็จะปรากฏ เพราะเมื่อรสเผ็ดจากอาหารที่เราทานเข้าไปแล้วเจือจางหรือหมดลง ความเผ็ดก็จะสิ้นสุด เนื่องจากวงจรของรสเผ็ดได้ถูกตัดโดยการที่เราหยุดทาน ความทุกข์ทรมานจากรสเผ็ดก็จะหมดไปด้วย
ส่วนคำว่า นายเวร ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถก่อเวรแก่เราได้นอกจากเราก่อขึ้นด้วยตัวเราเอง ทุกครั้งที่เราคิดพยาบาท ปองร้ายใคร เราก็เป็นนายเวร คือเป็นเจ้าของความอาฆาตพยาบาท ป้องร้ายนั้นในทันที และเกิดผลคือความทุกข์ ความทรมานทั้งทางกายและใจในทันทีเช่นกัน หลายท่านอาจจะแย้งว่า แล้วคนที่เขาอาฆาตพยาบาท ปองร้ายเราละ ไม่เรียกว่านายเวรเราหรือ อันที่จริงคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นไม่ได้เป็นนายเวรเรา แต่เขาเป็นนายเวรของเขา คือเป็นเจ้าของความอาฆาตพยาทที่เขาได้สร้างขึ้น และต้องทุกข์ทรมานเพราะเวรนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดที่ยังไม่ละความคิด ข้อควรละวังก็คือเราอย่าไปก่อเวรตอบ หากเราก่อเวรตอบ ความทุกข์ ความเดือดร้อน อย่างรุนแรงจะเกิดขึ้นทั้งกับทั้งสองฝ่าย เพราะเมื่อสองนายเวรปะทะกัน ย่อมเหมือนกับโจรสองคนมีอาวุธครบมือปะทะกัน ความวิบัติอย่างใหญ่หลวงย่อมเกิดขึ้น ในกรณีเช่นนี้ให้เราใช้สติ ใช้ความเมตตา และการให้อภัย เป็นเครื่องมือในการต่อสู้หรือเอาชนะ ซึ่งความเมตตา การให้อภัย อาจโน้มจิตที่หยาบกระด้างของบุคคลนั้นให้อ่อนโยนลง จนสามารถเปลี่ยทัศนคติจากศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้ หากความดีไม่อาจดึงจิตเขาได้ เราก็ต้องหันมาดูแลรักษาตัวเองด้วยการเจริญสติให้มากหากจำเป็นต้องอยู่ใกล้หรือร่วมงานด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันอันตราย หรือเพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นสืบเนื่องจากบุคคลนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้คือ “อย่าผูกโกรธตอบ” เพื่อเป็นการตัดวงจรแห่งเวร ต้องถือคติว่า “เราไม่อาจห้ามบุคคลอื่นไม่ให้ โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท หรือปองร้ายเราได้ แต่เราสมารถห้ามจิตของเราไม่ให้สร้างอารมณ์เช่นนั้นขึ้นมาได้”
ด้วยเหตุนี้ คำถามที่ว่า เจ้ากรรม นายเวร มีจริงหรือไม่ จึงเป็นคำถามที่ตอบได้ง่ายมาก เพราะตราบใดที่เรายังไม่สามารถควบคุมจิตให้อยู่เหนืออำนาจการสั่งการของกิเลสได้ ยังคงก่อพฤติกรรมตามอำนาจของกิเลส ทุกครังที่ส่องกระจกเราก็จะยังเจอกับ เจ้ากรรมอยู่เสมอ แล้วแต่ว่าจะเป็นการสั่งการของกิเลสฝ่ายไหน หากมาจากกิเลสฝ่ายอกุศล ก็จะเจอกับเจ้าแห่งกรรมไม่ดี หรือเจ้าอุกศลกรรม หากเกิดจากการผลักดันของกิเลสฝ่ายดี ก็จะเจอกับเจ้ากรรมดี หรือเจ้ากุศลกรรม ดังนั้น เมื่อยากที่จะหนีต่อการเป็นเจ้ากรรมก็จงพยายามเป็นเจ้าแห่งกรรมดีให้มากที่สุด เพื่อให้กรรมดีที่สร้างเป็นฐานพัฒนาจิตสู่ความเป็นคนเหนือกรรมเหนือเวร อย่างมั่นคงในเร็ววัน
โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา
หมายเหตุ ประโยคที่มีเครื่องหมาย* เป็นข้อมูลจากหนังสือพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕
12 ตุลาคม 2555
0 Comments